ในวันที่ผมแต่งงาน

เขียนจดหมายไปทางรายการจดหมายเด็กแมวอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นการเล่าเรื่องของการแต่งงานของผมเองครับ ทีแรกก็ว่าจะมาเขียน Blog เรื่องนี้แหละ แต่คงไม่ต่างอะไรกับจดหมายที่เขียนมา ก็คงขอยกจดหมายทั้งฉบับมาแปะเอาไว้เลยก็แล้วกัน

อ่านจดหมายฉบับนี้โดย พี่บอย ตรัย ภูมิรัตน
เริ่มต้นนาทีที่ 33:25

“สวัสดีครับพี่ๆจดหมายเด็กแมว

ผม beerboy เองครับ นี่ก็ห่างหายจากการเขียนจดหมายมานานมาก ครั้งล่าสุดคือส่งโปสการ์ดไปหาตอนปลายปีที่แล้ว รวมเวลาก็น่าจะครึ่งปีได้แล้วที่ได้แต่ฟังไม่ได้เขียนจดหมายมาหาสักที ครั้งนั้นบอกว่าจะมาเล่าเรื่องงานแต่งงานของตัวเองให้ฟังครับ วันนี้ก็มีโอกาสมาเล่าสักที

เชื่อว่าหลายๆคนคงมีงานแต่งงานในฝัน แต่จะสามารถเนรมิตรออกมาได้ตรงตามความฝันรึเปล่านั้นก็อีกเรื่อง เพราะหลายครั้งที่ผู้ใหญ่อยากได้โน่นนี่นั่นจนต้องตามใจ ทำให้งานแต่งงานในความฝันและความเป็นจริงออกมาไม่ตรงกัน แต่สำหรับตัวของผมเองเรียกได้ว่าทางผู้ใหญ่ให้อิสระในการจัดงานแต่งงานมากครับ เลยทำการจัดงานตามแบบฉบับของตัวเองซะเลย

งานแต่งงานในสวนเล็กๆบรรยากาศอบอุ่น คือสิ่งที่คิดไว้ครับ ก็ได้ที่ง่ายที่สุดนั่นคือสวนที่อยู่ในหมู่บ้านของภรรยาผมครับ ซึ่งอยู่จังหวัดของแก่น บรรยากาศงานแต่งงานช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ขอนแก่นนี่ดีทีเดียว

อีกอย่างที่คิดไว้คือเป็นงานเล็กๆที่มีแต่เพื่อนสนิท เพราะอยากจะดูแลคนที่มาร่วมแสดงความยินดีให้ทั่วถึง และที่สำคัญสถานที่มีพื้นที่จำกัดสามารถรองรับแขกได้เพียง 100 คนเท่านั้นเอง แค่เริ่มต้นก็ยากแล้วครับ คนโน้นก็อยากให้มา คนนี้ก็อยากให้มา แถมต้องคิดว่าถ้าเชิญคนนี้ อีกคนจะงอนรึเปล่านะ สุดท้ายเลยใช้วิธีหักดิบเชิญเฉพาะกลุ่มเพื่อนสนิท และส่งบัตรเชิญทาง Line แทนครับ

การเตรียมงานแต่งงาน
เป็นขั้นตอนที่วุ่นวายที่สุดแล้วครับกับการที่ต้องมาคิดว่าจะมีอะไรอยู่ในงานแต่งงานหรือเอาอะไรวางไว้ตรงไหนในงานบ้าง เพราะขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่คนสองคนความคิดเห็นเริ่มที่จะไม่ตรงกันบ้างแล้ว เพราะคนนึงจะมองภาพไว้อย่างนึง อีกคนก็จะมองภาพอีกแบบ ซึ่งต้องค่อยๆปรับจูนกันเพื่อให้มองเป็นภาพเดียวกันให้ได้ครับ

อาหาร
ส่วนนี้ให้ภรรยาผมเป็นคนจัดการครับ เพราะไอเดียเรื่องอาหารของตัวผมเองเรียกได้ว่าติดลบ ฝีมือการทำอาหารก็ยิ่งติบลบเข้าไปใหญ่ ถ้าผมเข้าครัวเองหุงข้าวสวยอาจได้ข้าวต้ม หรือถ้าใช้เวลาทำอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง ต้องหาเวลามาทำความสะอาดครัวอีกครึ่งชั่วโมงเช่นกัน แล้วไอเดียจากภรรยาผมสุดท้ายก็ได้เป็นอาหารแบบค็อกเทลครับ ความพีคในเรื่องอาหารคือเจ้าบ่าวเจ้าสาวออกไปจ่ายตลาดเองในวันก่อนแต่งงาน เพราะอยากได้อาหารที่วัตถุดิบตรงตามที่ตัวเองต้องการมากที่สุดครับ อาหารที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวไม่มีวันได้กินแม้จะเลืกเมนูเอง ข้อนี้คนที่แต่งงานมาแล้วน่าจะเข้าใจนะครับ 555

สถานที่
ที่สวนแห่งนี้ไม่เคยถูกจัดงานอะไรมาก่อนเลย เพราะเป็นแค่สวนริมบึงที่เอาไว้ให้คนที่อยู่ในหมู่บ้านมาพักผ่อน มีสนามเด็กเล่นเล็กๆ แป้นบาส ให้ออกกำลังกาย ทำให้การจัดงานในครั้งนี้เป็นการตัดริบบิ้นการใช้งานสวนแห่งนี้ในการจัดงานที่เป็นทางการครั้งแรกเลย แต่ก็ต้องจัดการเยอะมากในการตัดหญ้า ล้างห้องน้ำ รวมถึงการปรับปรุงศาลาเล็กๆที่อยู่กลางสวนให้มีสภาพดูดี เพราะศาลากลางสวนจะเป็นพื้นที่สำคัญในการจัดงานแต่งงานครับ

อุปสรรค
พวกเราเดินทางไปยังขอนแก่นล่วงหน้า 1 อาทิตย์ เพื่อที่จะเตรียมงานเพราะทุกสิ่งทุกอย่างในงานเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเป็นคนจัดการงานเองทั้งหมด แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ผมและภรรยาป่วยครับ อาจจะเพราะช่วงที่ไปอากาศเย็นลงมาก และร่างกายปรับตัวตามไม่ทัน ทำให้นอนซมอยู่หลายวัน ทุกคืนจะไปคลีนิคเพื่อฉีดยาให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมอย่างเร็วที่สุด ทำให้การมาเตรียมงานในครั้งนี้จากแพลนล่วงหน้า 1 อาทิตย์ กลับมาเป็นเพียงมีเวลาเตรียมงานเพียง 2 วันเท่านั้น แต่ยังดีที่ซื้ออุปกรณ์ต่างๆที่จะใช้ในงานมาล่วงหน้าเกือบครบหมดแล้ว

มาถึงวันงาน
วันที่ร่างกายของทั้งคู่กลับมาแข็งแรงดังเดิม งานแต่งเป็นงานแบบคริสเตียนครับ ต่างจากเดิมแค่เพียงไม่ได้จัดในโบสถ์ งานเริ่มในช่วงบ่ายแก่ๆ เป็นช่วงที่ต้นไม้ใหญ่ทอดเงาไปที่งาน ทำให้บรรยากาศในงานไม่ร้อนจนเกินไป เก้าอี้ถูกจัดเรียงรายหันหน้าไปยังศาลาสีขาวหลังเล็กๆ ที่มีดอกไม้ประดับจากคุณแม่ของเจ้าสาว แขกเริ่มมาถึงงานกันแล้ว ก็มาเซ็นสมุดที่เป็นสมุดวาดรูปขนาดยักษ์พร้อมสีเมจิกต่างๆให้เลือกสรรประกวดฝีมือการวาดรูปกันอย่างเต็มที่ อาหารและเครื่องดื่มเริ่มนำออกมาเสิร์ฟ คิวต่างๆถูกออแกไนซ์ด้วยฝีมือการจัดการของเพื่อนที่ขอให้มาช่วยงาน

  พิธีเริ่มต้นจากพ่อของเข้าสาวเดินมาส่งเจ้าสาวที่หน้าศาลาและเจ้าบ่าวก็เดินไปรับว่าที่ภรรยา พร้อมด้วยเพลงประสานเสียงจากพี่น้องที่โบสถ์ที่มาไกลจากกรุงเทพ หลังจากนั้นก็ฟังคำเทศนาในการใช้ชีวิตคู่ กล่าวคำปฏิญาณ พร้อมสวมแหวนให้แก่กัน พิธีที่ไม่มีขั้นตอนอะไรมากมาย เรียบง่ายสุดๆ รวบรัดภายใน 1 ชั่วโมง แต่บรรยากาศอบอุ่น ปิดท้ายด้วยความโรแมนติกจากเพลงที่เจ้าสาวแต่งให้เจ้าบ่าว ที่ตอนแรกจะเซอร์ไพร้ แต่ไม่สามารถเซอร์ไพร้ได้เพราะเจ้าบ่าวเป็นคนจัดการเรื่องการอัดเสียงต่างๆในงานแต่งงาน ต้องมา Sound Check ให้ฟังก่อน ฮาฮา

พิธีการจบไปด้วยดี แสงยามเย็นยังเป็นใจด้วยบรรยากาศช่วง Magic Hour ที่ทุกคนอยากจะมาแสดงความยินดีและถ่ายรูปร่วมกันจนกระทั่งถึงเวลาที่แสงสุดท้ายของวันเริ่มลับขอบฟ้าถึงได้เริ่มหยุดการเก็บภาพแห่งความทรงจำ

งานแต่งงานผ่านไปแล้ว บอกเลยว่าการจัดงานแต่งงานด้วยตัวเอง แม้ว่าจะเป็นงานเล็กๆก็ตาม มันเหนื่อยมาก แม้ว่าจะเคยมีประสบการการจัดงาน Event มาแล้วก็ตาม แต่ก็มีความสุขมากกับการได้ผ่านช่วงสำคัญในชีวิตไปอีก 1 ช่วง

แล้วพวกพี่ๆหละครับคิดว่าช่วงสำคัญในชีวิตคือช่วงไหนบ้าง

แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้าครับ สวัสดีครับ”